My pix

My pix

วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

จีน : มหาอำนาจใหม่

หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ( วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2545 )  
จีน: มหาอำนาจใหม่

ศ.ดร.ลิขิต  ธีรเวคิน
ราชบัณฑิต

                 จีน เป็นประเทศเก่าแก่  มีประวัติศาสตร์มาสี่พันปี  มีวัฒนธรรมและอารยธรรมที่ทรงอิทธิพลไปทั่วโลก  แม้ราชวังบางแห่งในยุโรปก็มีการสร้างเลียนแบบจีน  ที่สำคัญยุคหนึ่งในยุโรปได้มีการพูดถึงจีนในฐานะที่เป็นประเทศที่มีระบบการ ปกครองบริหารและอารยธรรมที่สูงส่ง  เช่น  ระบบการสอบเข้ารับราชการเป็นขุนนาง  เครื่องลายครามซึ่งเป็นศิลปะและเทคโนโลยีขั้นสูง  ในยุคที่มาโคโปโลเดินทางไปประเทศจีนนั้นเป็นยุคที่ยุโรปยังล้าหลังกว่า จีนอยู่มาก  


                    แต่ความเจริญรุ่งเรืองของจีนก็มีส่วนทำให้จีนเป็นประเทศ ที่ไม่สามารถจะปรับทันการเปลี่ยนแปลงของโลกได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปซึ่งมีผลมาจากการฟื้นฟู ศิลปะวิทยาภายหลังที่อำนาจของพระในศาสนาคริสต์ได้ลดน้อยลง  จึงทำให้เปิดทางไปสู่การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์  ความอิสระในการแสดงความคิดเห็น  และการคิดค้นจนนำไปสู่การพบเครื่องทุ่นแรงที่สำคัญคือเครื่องจักรไอน้ำ  และต่อมาก็มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมใช้เครื่องจักรแทนคน  และหลังจากการค้นพบน้ำมันและไฟฟ้าก็เกิดเครื่องจักรกลที่มีประสิทธิภาพอย่าง มากในการผลิต  รวมตลอดทั้งในการนำไปสร้างพาหนะด้วยการเดินทางเริ่มตั้งแต่รถไฟ  เรือกลไฟ  รถยนต์  เครื่องบิน  พร้อมๆ กับปืนไฟหรืออาวุธอันร้ายแรง  ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการทำสงครามชนะศัตรู  


                     แต่นอกเหนือจากการค้นพบทาง วิทยาศาสตร์และสิ่งประดิษฐ์ทั้งหลายดังกล่าวมาแล้ว  ความสามารถในการปกครองบริหารและการจัดการ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตั้งระเบียบสังคม  การผลิต  ระบบเศรษฐกิจ  ธุรกิจ  การค้า  การเมืองในรูปแบบการต่อรอง  หลังจากการทำสัญญากฎบัตรใหญ่ หรือแมกนาคาตา  ก็นำไปสู่การเปิดกว้างของการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยเริ่มที่ประเทศอังกฤษ  และต่อไปก็ขยายไปในที่อื่นๆ จนมาเป็นรูปแบบที่จำลองใกล้เคียงกันในสหรัฐอเมริกา  ขณะเดียวกันความจำเริญในทางการผลิตและระบบทุนนิยมก็นำไปสู่การค้นหา ทรัพยากร  แรงงานและตลาด  เพื่อการผ่องถ่ายสินค้าซึ่งนำไปสู่ลัทธิล่าอาณานิคม  โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือ  การแผ่ขยายอำนาจทางการเมืองและผลประโยชน์ทางการค้า  นอกเหนือไปจากการเผยแผ่ศาสนาของกลุ่มที่มีศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า 
                    

                     จีน ไม่สามารถจะตามทันการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเนื่องจากมีความเชื่อมั่นสูงใน วัฒนธรรมและอารยธรรมของตนเอง  ที่สำคัญก็คือ  ระบบการปกครองที่มีเหล่าขุนนางและขันทีในวังได้รับประโยชน์ก็พยายามต่อต้าน การเปลี่ยนแปลงและไม่ยอมรับความคิดระบบวัฒนธรรมและอารยธรรมของฝรั่งผิวขาว  ซึ่งจีนเรียกว่า ผีผมแดง  ในส่วนนี้จีนมีความแตกต่างจากญี่ปุ่นเพราะญี่ปุ่นมีความรวดเร็วในการปรับตัว เริ่มตั้งแต่สมัยฟื้นฟูเมจิ  มีการหันจากเอเชียซึ่งได้แก่จีนและอินเดียไปสู่ยุโรป  จนญี่ปุ่นได้ก้าวเข้ามาสู่การเป็นมหาอำนาจเคียงบ่าเคียงไหล่กับมหาอำนาจ ตะวันตก  โดยในปี ค.ศ.1902 ญี่ปุ่นได้รับเกียรติทำสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกับอังกฤษ  และในปี ค.ศ.1905 ญี่ปุ่นทำสงครามกับรัสเซียและได้รับชัยชนะ  ก่อนหน้านั้นญี่ปุ่นก็สามารถทำสงครามชนะจีนได้ในปี ค.ศ.1894-1895  ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวนี้บ่งชี้ให้เห็นถึงความไม่สามารถของจีนที่จะปรับ ตัวให้ทันกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง  เนื่องจากความเชื่อมั่นในตนเองสูงโดยมองดูอารยธรรมของฝรั่งในลักษณะของคน เถื่อน  ไร้วัฒนธรรม  นาฬิกาที่เดินด้วยจักรกลก็มองดูเป็นของเด็กเล่น  กว่าจีนจะรู้ตัวก็กลายเป็นประเทศกึ่งเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตก  มีเขตเช่าต่างๆ ในเมืองใหญ่โดยมีมหาอำนาจตะวันตก 7 ประเทศ รวมทั้งประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ 8 ที่เข้ามายึดครองบางส่วนของจีน

                        เมื่อ เหมา เจ๋อตุง ยึดแผ่นดินใหญ่ได้ในปี ค.ศ.1949 ก็ได้ประกาศที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ว่าจีนจะไม่ถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีอีกต่อไป  การถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีโดยมหาอำนาจตะวันตกเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ.1839-1842  เมื่อตอนที่จีนแพ้สงครามฝิ่นจนต้องเสียเกาะฮ่องกงให้กับอังกฤษ  นอกเหนือจากค่าเสียหายอย่างอื่น  ซึ่งเมื่อนับถึงปีที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนยึดแผ่นดินใหญ่ได้ก็เป็น ระยะเวลากว่าหนึ่งศตวรรษ  จนมีการกล่าวว่าเป็นศตวรรษแห่งการเสื่อมเสียศักดิ์ศรีของประเทศที่มี อารยธรรมมาถึงกว่าสี่พันปี   การประกาศของเหมา เจ๋อตุง เป็นการบ่งชี้ถึงความข่มขื่นของประสบการณ์อันเลวร้ายของประชาชนชาวจีน  แต่จีนก็ไม่ได้มีความสงบในทางการเมืองเพราะมีภารกิจที่ต้องมีการจัดบ้านให้ เข้าที่  จัดของให้เข้าทาง  มีการรณรงค์ต่อสู้ทางการเมืองในสองระดับ ทั้งระดับความขัดแย้งทางอุดมการณ์และการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองกันระหว่าง สองกลุ่ม  จนผลสุดท้ายก็จบลงด้วยการปฏิวัติวัฒนธรรมซึ่งทอดช่วงเวลากว่าหนึ่งทศวรรษ  จนกระทั่งการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา เจ๋อตุง และการสิ้นสุดอำนาจต่อมาของนางเจียงจิงและสหายอีกสามคน  จึงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่โดยกลุ่มของนายเติ้ง เสี่ยวผิง  ซึ่งมีหลักการว่า  หลังจากการยึดอำนาจแล้วก็ควรถึงการพัฒนา  ได้มีการประกาศนโยบายเปิดประตูประเทศพร้อมกับสี่ทันสมัย  อันได้แก่  วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  อุตสาหกรรม  เกษตร  และการป้องกันประเทศ  ซึ่งหลายคนสังเกตว่ามีลักษณะคล้ายกับการฟื้นฟูเมจิของญี่ปุ่นซึ่งเริ่มในปี ค.ศ.1868  แต่จีนมาเริ่มกว่าสองศตวรรษต่อมา  กล่าวอีกนัยหนึ่ง  จีนเริ่มต้นการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ของโลกช้ากว่าญี่ปุ่นกว่า สองศตวรรษ  ได้มีการส่งนักศึกษาจีนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ  มีการเปิดประตูเพื่อการลงทุนจากต่างประเทศ  ปรับปรุงกฎหมายกระบวนการบริหาร  เลิกนารวม  เปิดให้มีการทำธุรกิจส่วนตัวในระดับหนึ่ง  กล่าวอีกนัยหนึ่ง  จีนพยายามผสมผสานระหว่างการปกครองแบบสังคมนิยมและเศรษฐกิจแบบทุนนิยม  และต่อมาก็เริ่มมีการเลือกตั้งในหมู่บ้านแบบอิสระ


                        การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนก็คือ  จีนพัฒนาอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาสองทศวรรษ   การผลิตทางเกษตรและอุตสาหกรรมเจริญรุดหน้า  เมืองใหญ่ๆ เช่น เมืองเซี้ยงไฮ้ ปักกิ่ง และจุงกิง  จะกลายเป็นศูนย์กลางการเศรษฐกิจและการบริหารของจีน  การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็ได้เจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว  เกิดชนชั้นใหม่ซึ่งได้แก่ชนชั้นกลางที่มีรายได้อยู่ในระดับถึง 200 ล้านคน  อุตสาหกรรมบางส่วนได้ส่งไปขายต่างประเทศเนื่องจากราคาถูก  ที่สำคัญก็คือ  จีนได้เข้า WTO  และจะเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิกหลังจากที่ได้จัดเอเชียนเกมส์อย่างสัมฤทธิ์ ผลมาแล้ว  ที่สำคัญที่สุด  กระบวนการทางการเมืองของจีนได้ปลอดจากการช่วงชิงอำนาจกันอย่างดุเดือดและ รุนแรง  การสืบทอดอำนาจกระทำในกลไกของสถาบัน  ผู้นำชั้นใหม่ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่กำลังรับภาระต่อจากผู้นำรุ่นเดิมซึ่งมีความ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาประเทศจีนไปสู่การเป็นมหาอำนาจอย่างสมบูรณ์แบบ


                     จีน มีประชากร 1,300 ล้านคน จีนจึงเป็นตลาดที่น่าสนใจของหลายประเทศ  เฉพาะโทรศัพท์มือถือมีผู้ใช้ถึง 120 ล้านเลขหมาย  ขณะที่โทรศัพท์พ้นฐานหรือโทรศัพท์บ้านมี 170 ล้านเลขหมาย  และจะขยายตัวไปอย่างไม่หยุดยั้ง  ตลาดจีนมีทั้งตลาดบนและตลาดล่าง  ในกรณีตลาดบนคนซึ่งมีรายได้พอที่จะจับจ่ายได้อย่างฟุ่มเฟือยก็มีจำนวนเป็น สิบๆ ล้านคน  เนื่องจากการสะพัดของเงินตราและเศรษฐกิจแบบทุนนิยม  ในขณะที่ตลาดล่างซึ่งได้แก่ รถจักรยานยนต์  โทรทัศน์สี  วิทยุ  เครื่องเสียง  ตู้เย็น  จักรยาน  รถยนต์  เสื้อผ้า  เป็นตลาดใหญ่มหึมามีการผลิตเป็นจำนวนมาก  จนทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ  เช่น  เสื้อนอกชุดละ 350 บาท  หรือที่สามารถจะใส่ไปทำงานอย่างสบายใจชุดละ 700 บาท  เป็นต้น


                         เนื่อง จากความสำคัญดังกล่าวในหลายๆ ด้าน  ได้มีความตื่นตัวที่จะศึกษาเรื่องจีนมากขึ้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนภาษาจีน  ที่เห็นได้ชัดคือประเทศไทยได้มีสถาบันสอนภาษาจีนเกิดขึ้นอย่างดาษดื่น  ประเทศมาเลเซียซึ่งเดิมห้ามไม่ให้เรียนภาษาจีนเนื่องจากกลัวความสัมพันธ์อัน ตึงเครียดระหว่างคนมาเลย์และคนเชื้อสายจีนได้เริ่มเปลี่ยนแนวคิดและส่งเสริม การเรียนอย่างเต็มที่  จึงไม่แปลกถ้าหากว่าภาษาจีนจะกลายเป็นภาษาที่สำคัญรองจากภาษาอังกฤษ  และมีข้อที่สังเกตได้ว่าสหรัฐอเมริกาจะเป็นทั้งคู่แข่งและคู่ค้าของจีน  ดังนั้นภายใน 10 ปีนี้จะมีคนอเมริกันศึกษาภาษาจีนอย่างมากมาย  ขณะเดียวกันก็จะมีคนจีนจำนวนมากศึกษาภาษาอังกฤษจนสามารถใช้งานได้เป็นอย่าง ดีเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน


                        จีนเป็นมหาอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจ  ทางการเมืองระหว่างประเทศ  และในอนาคตจะเป็นมหาอำนาจทางทหาร  แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงอยู่ก็คือ  สังคมจีนนั้นเดิมมีความดื่มด่ำในลัทธิขงจื้อแต่ได้คลายความเข้มข้นลงเมื่อมี ลัทธิสังคมนิยมเข้ามาแทนที่  และในขณะนี้ความเข้มข้นของสังคมนิยมก็ลดลง  สิ่งที่จะเข้ามาแทนที่ในอนาคตน่าจะเป็นความรู้สึกชาตินิยมซึ่งก็เป็นเรื่อง ที่น่าเป็นห่วงเนื่องจากจำนวนประชากรและขนาดอันใหญ่โตของจีน  ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน  ถ้าทั้งสองมหาอำนาจมีความขัดแย้งกัน  ก็จะส่งผลในทางลบต่อความสงบของโลกและภูมิภาค  แต่ถ้าทั้งสองมหาอำนาจร่วมมือกันอย่างดีก็ไม่แน่ว่าจะมีผลดีต่อประเทศเล็กๆ 


                  ดัง นั้น  จีนจึงเป็นตัวแปรที่สำคัญในหลายๆ ด้านที่ประเทศต่างๆ ก็คำนึงถึง  ขณะเดียวกันจีนก็อยู่ในฐานะเป็นผู้กระทำในมิติต่างๆ ได้  ทั้งในแง่เศรษฐกิจ  การเมืองระหว่างประเทศ  และทางทหาร  การเป็นมหาอำนาจของจีนจึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น