My pix

My pix

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Bangkok district under evacuation as flooding worsens


By Moni Basu and Kocha Olarn, CNN
October 27, 2011 -- Updated 1901 GMT (0301 HKT)



Bangkok, Thailand (CNN)
 -- Thursday was the first of five government-declared holidays in Thailand, but it was not a day of fun. Floodwaters crept slowly but surely into Bangkok, stressing embankments and making roads, parking lots, factories and markets more suitable for fish than people.



Bangkok residents used the holiday to stream out of the capital, seeking higher ground or temporary shelters. Many saw floodwater enter their homes uninvited, their belongings soaked beyond salvage.
Most of Bangkok was expected to be flooded Thursday, with up to 1 meter (3.2 feet) of water in some areas, said Thai Prime Minister Yingluck Shinawatra, as the Chao Phraya River threatened to spill over holding walls and into the city of 12 million people.


Several districts were under a mandatory evacuation order.


Yingluck conceded Bangkok is entering a critical stage, the MCOT news agency reported. She said it was impossible to divert the floodwater and that it would certainly flow through every part of the metropolitan area.


"There is water from underground coming up," said Pracha Promnok, chief of the Flood Relief Operations Center. "We are unable to do anything (to stop it)."


Yingluck fielded criticism that the flood relief center had not done enough and called on the public -- with tears in her eyes -- to sympathize with emergency staff, as some of them had also become victims of the flooding.


"Many are exhausted and some problems cannot be controlled and were not caused by (the center)," Yingluck said, according to MCOT.


Thailand's government declared public holidays through the rest of the month in 21 flood-affected provinces, and appealed to Bangkok residents to head to the countryside.


People flocked to bus terminals and crowed the Suvarnabhumi Airport, the main airport, desperate to flee to safer places. The smaller domestic airport was closed with water on the runways but Suvarnabhumi was operating normally, protected by 3.5 meters (almost 12 feet) of dikes, said Toopetch Booyarith of the Airport Authority of Thailand.


"We are confident that we will not be affected," Toopetch said.


A normally bustling metropolis notorious for traffic snarls stood empty Thursday, save a few public buses and taxis still able to move along some streets. There was even water standing before the Grand Palace, perhaps the most-adored of Bangkok's landmarks.


Hotels offered budget prices to accommodate the flood-affected and some tourist areas reported full occupancies. In the resort town of Pattaya, fleeing Bangkok residents found it hard to get a room in hotels overflowing with European tourists, the Bangkok Post reported.


U.S. Ambassador Kristie Kenny said the crisis was slow-moving and it was hard to know what would be hit next.


The United States has already provided civilian relief resources including water pumps, purifiers and life vests, she said, and two U.S. helicopters are helping the Thai military survey the extent of the flooding.


The Thai floods, caused by heavy monsoonal rains that saturated rivers, have killed 373 people nationwide and affected more than 9.5 million people, authorities said.


The government has called the flooding the worst to afflict the nation in half a century and said it might take more than a month before the waters recede in some areas.


The government has set up more than 1,700 shelters nationwide, and more than 113,000 people have taken refuge.


Overall damage from the floods has risen and could top $6 billion, with the worst yet to come as the waters destroy shops and paralyze factories nationwide, the Thai Finance Ministry said.

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ


แม้ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่า ที่ผมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผมพยายามสื่อสารกับพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมและความเข้าใจในการทำงานของผม แต่ที่ผ่านมาผมหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีความละเอียดอ่อน เพราะผมพยายามลดเงื่อนไขความขัดแย้ง แต่ขณะนี้สื่อมวลชนบางส่วนเสนอข้อมูล ข้อคิดที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ผมจึงจำเป็นต้องทำบันทึกชุดนี้เพื่อเป็นหลักฐาน และเพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจชี้ชะตาอนาคตของประเทศโดยพี่น้องทุกคนในเร็ว ๆ นี้
ตอนที่ 1. การเมืองสลับขั้ว : สู่เส้นทางนายกรัฐมนตรี
หลังจากที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งปลายปี พ.ศ. 2550 ผมตั้งใจทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรให้ดีที่สุด ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสก้าวสู่ตำแหน่งนายกฯจนกว่าจะมีการเลือกตั้งกันใหม่ แต่เหตุการณ์บ้านเมืองก็ไม่ปกติ โดยเริ่มต้นจากความขัดแย้งที่เกิดจาก นายกฯสมัคร เปิดประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อล้างความผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้เกิดกระแสต่อต้านรุนแรงจากประชาชนที่ไม่ต้องการให้นักการเมืองกลายเป็นอาชีพเดียวที่อยู่เหนือกฎหมายได้ เพราะสามารถใช้เสียงข้างมากในสภาออกกฎหมายล้างความผิดตัวเองได้ ในความผิด เช่น การทุจริต คอรัปชั่น ซึ่งถือเป็นวิธีการที่สั่นคลอนความมั่นคงของกระบวนการยุติธรรม และระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเป็นอย่างยิ่ง
หลายคนมองว่า พรรคประชาธิปัตย์สมคบกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ผมระมัดระวังที่จะแยกแยะบทบาทของพรรคการเมืองกับภาคประชาชนที่มีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ผมไม่ไปขึ้นเวทีแต่ปกป้องสิทธิของพวกเขา เมื่อใดที่มีการทำผิดกฎหมาย เช่น การยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน หรือขัดขวางการลงพื้นที่ของรัฐมนตรี ผมแสดงจุดยืนชัดเจนทุกครั้งว่า "ผมไม่เห็นด้วย" เมื่อสถานการณ์ลุกลาม การบริหารบ้านเมืองแทบเดินไม่ได้ ประเทศชาติเสียหายยับเยินขาดความเชื่อมั่นในสายตานานาชาติ ในช่วงวิกฤตินั้นผมในฐานะผู้นำฝ่ายค้านเป็นคนเสนอนายกสมัครกลางสภาให้แก้ปัญหาด้วยการยุบสภา ทั้ง ๆที่รู้ว่ายุบสภาในขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็แพ้เลือกตั้ง แต่ผมต้องการให้ประเทศมีทางออกตามระบบ
ผมไม่เคยเสนอให้นายกสมัคร ลาออกจากตำแหน่ง เพราะนั่นเป็นข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม การลาออกจะกลายเป็นการยอมจำนนต่อการใช้มวลชนกดดัน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหาระยะยาวต่อการบริหารประเทศ จึงเห็นว่าการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นทางออกที่ดีที่สุด โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าพรรคจะแพ้การเลือกตั้ง เพราะการแก้ปัญหาเพื่อชาติต้องอยู่เหนือประโยชน์ของพรรคตัวเอง. นี่คือจุดยืนของผมและพรรคประชาธิปัตย์
ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ทวีความตึงเครียดให้กับประเทศไทยมากขึ้น คดีของพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลก็อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ในเรื่องการยุบพรรคเพราะนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรค ทุจริตเลือกตั้ง กกต.ให้ใบแดงนายยงยุทธ จากนั้นศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำพิพากษายืนให้ใบแดงกับนายยงยุทธซึ่งกติกาที่ทุกพรรคก็รับทราบมาตั้งแต่ต้น คือ หากผู้บริหารพรรคได้ใบแดงพรรคการเมืองนั้นต้องถูกยุบ ดังนั้นคดีนี้จึงชัดเจนอย่างยิ่งชนิดที่เรียกว่าปิดไว้ข้างฝาได้เลยว่า จะมีปัญหาแน่สำหรับรัฐบาลคุณสมัครกับคุณสมชาย แต่ผมไม่เคยคิดและไม่เคยดิ้นรนว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วจะเป็นโอกาสของผม
ช่วงเวลานั้น นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญติดต่อผ่าน ส.ส. คนหนึ่งเพื่อขอพบผม เพราะมีธุระอยากพูดคุยด้วย เราก็ได้พบกันที่ร้านอาหารใกล้พรรคประชาธิปัตย์ โดยคุณพสิษฐ์บอกผมว่า พรรคพลังประชาชนจะถูกยุบนะ ผมก็เพียงแต่รับฟัง คุณพสิษฐ์บอกกับผมว่าที่เล่าให้ฟังเพราะคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งผมตอบกลับไปว่า การยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่เป็นเรื่องของเนื้อคดีและดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ แม้แต่วันนั้นผมก็ยังบอกเขาเลยว่าหากยุบพรรคพลังประชาชน ผมก็คิดว่าไม่ได้เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวข้องกับประชาธิปัตย์ เพราะผมเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลเดิมก็คงจับมือกันเป็นรัฐบาลต่อ
แต่ถามว่าหากพรรคการเมืองอื่นเขาตัดสินใจย้ายมาร่วมตั้งรัฐบาลกับประชาธิปัตย์แปลกไหม ก็ต้องบอกว่าไม่แปลก เพราะบ้านเมืองเดินไม่ได้จริง ๆ กับปัญหาที่สะสมมาตั้งแต่ความพยายามแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตัวเองจนถึงเรื่อง 7 ตุลา ใครจะคุยกับทหารอย่างไรผมไม่ทราบ เพราะผมไม่เคยติดต่อกับทหารท่านใดเลย แต่ผมเชื่อว่าไม่มีใครบังคับ ส.ส.ได้ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคซึ่งประสานงานกับพรรคการเมืองต่าง ๆ มาถามจุดยืนผม ผมก็บอกว่ามันเป็นเรื่องของสภา และผมก็คิดอยู่ในใจว่าหากเราจะปัดว่าไม่ใช่เรื่องของเราก็ได้ แต่คนเป็นผู้นำฝ่ายค้านต้องมีความรับผิดชอบ เราไม่ได้เป็นคนไปแย่งไปปล้นอำนาจใครมา และถ้ามีโอกาสเป็นนายกฯก็ไม่คิดทำอะไรเพื่อตัวเอง ทุกอย่างเป็นกระบวนการตามระบบ ตามกฎหมาย ผมถือว่าถ้าเสียงในสภายอมรับก็ยอมรับ และการลงคะแนนก็เปิดเผย การสลับขั้วในระบบรัฐสภาเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในทุกประเทศที่ใช้ระบบนี้ พรรคเพื่อไทยเองพยายามรักษาอำนาจทุกวิถีทาง ถึงขั้นยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับคุณประชา พรหมนอก ซึ่งเป็น ส.ส.พรรคเล็กด้วยซ้ำ ทำให้คุณประชาซึ่งพาผมไปเลี้ยงข้าวที่บ้านบอกจะสนับสนุนผม แต่อีกสองวันกลับประกาศว่าจะแข่งกับผม ก็ไม่มีปัญหาแข่งกันไป ถ้าทหารมีอำนาจบีบบังคับให้พรรคการเมืองต้องทำตามที่ตัวเองต้องการได้จริง ทำไมจึงมีการแข่งขันอย่างเข้มข้นในสภา
ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลที่วิจารณ์กันมากว่ายอมทุกอย่างให้คุณเนวินขี่คอได้กระทรวงหลักไปดูแล ความจริงก็คือ ในสถานการณ์นั้นง่ายที่สุดคือ ใครเคยดูแลกระทรวงไหนก็ดูแลกระทรวงนั้นเหมือนเดิมทั้งหมด หลักสำคัญคือพูดกันชัดเจนว่าเรามาแก้วิกฤติให้มันจบ ไม่เคยมีสัญญาว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 ตามที่คุณบรรหารกล่าวอ้าง และวันที่คุณเนวินคุยกับผมก็พูดเรื่องรัฐธรรมนูญผมพูดชัดสามเรื่อง คือ เรื่องไหนที่เป็นปัญหาเชิงเทคนิคของรัฐธรรมนูญผมยินดีแก้ เพราะผมเป็นคนแรกที่พูดตอนการทำประชามติว่ารัฐธรรมนูญบางมาตราอาจต้องแก้ไข แต่เรื่องประเภทนิรโทษกรรมไม่เอานะ เพราะบ้านเมืองมันวุ่นมามากแล้ว และคุณเนวินก็บอกกับผมว่า เรื่องนิรโทษกรรมไม่ต้องพูดถึงเขาไม่สนใจเขาไม่เอา เขาขอเรื่องเขตเล็ก ผมก็บอกคุณเนวินว่า เรื่องเขตเล็กผมเป็นคนเสนอเขตใหญ่ เพราะฉะนั้นการปรับปรุงตรงนี้พักไว้ก่อนแล้วค่อยมาคุยกันว่าจะทำอย่างไร
เมื่อสภาให้โอกาสผมเป็นนายกรัฐมนตรีผมก็มีหน้าที่แก้ไขปัญหา และตั้งใจตั้งแต่ต้นว่าจะไม่อยู่ครบวาระ ถ้าคลี่คลายวิกฤติได้ก็จะยุบสภา เพราะตอนนั้นเกิดวิกฤติเศรษกิจโลกและวิกฤติการเมือง เรียกว่า เป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติบนสถานการณ์ที่ประเทศชาติไม่อยู่ในภาวะปกติ มีคนบอกผมด้วยซ้ำว่า อย่าไปเป็นนายกรัฐมนตรีเลยเพราะมีแต่เจ๊ากับเจ๊ง และจะเปลืองตัว ความดีจะถูกทำลายโดยองค์ประกอบรอบข้าง เพราะต้องยอมรับความจริงว่าประชาชนส่วนหนึ่งไม่ไว้วางใจพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่เคยอยู่กับพรรคพลังประชาชน ก็จะทำให้ผมได้รับแรงเสียดทานไปด้วยว่า "อยากเป็นนายกรัฐมนตรีจนสามารถร่วมงานกับพรรคอะไรก็ได้" และเดี๋ยวนี้ข้อหาพัฒนาไปไกลถึงขั้นหาว่า "ผมพายเรือให้โจรนั่ง"
ผมเข้าใจดีถึงความรู้สึกของพี่น้องจำนวนไม่น้อยที่แสลงใจกับภาพที่คุณเนวิน ชิดชอบ เข้ามาโอบกอดผม ผมมองอย่างให้ความเป็นธรรมกับคุณเนวินว่า การตัดสินใจย้ายขั้วทิ้งคุณทักษิณ ที่คุณเนวิน เรียกว่า "นาย" ย่อมเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากไม่น้อย คำพูดที่คุณเนวินฝากไปถึงคุณทักษิณที่ว่า "มันจบแล้วครับนาย" ด้วยเสียงสั่นเครือน้ำตาคลอเบ้าคงจะยังเป็นบาดแผลในใจคุณเนวินมาจนถึงวันนี้ ไม่ว่าคนจะมองคุณเนวินในภาพอย่างไร แต่ในวันนั้นผมเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า คุณเนวินได้ตัดสินใจทางการเมืองเพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้
ถ้าคิดในทางกลับกันผมไม่ยอมร่วมรัฐบาลกับคุณเนวินและพรรคอื่น ๆ เพียงเพราะกลัวเปลืองตัว ปล่อยให้บ้านเมืองวุ่นวายเดินหน้าไม่ได้ ผมก็ลอยตัวไม่ต้องมาอยู่ในฐานะเป็นคู่ขัดแย้งกับใคร ชีวิตก็ไม่ต้องเสี่ยงจากความรุนแรงที่เริ่มปรากฏให้เห็นในการแข่งขันทางการเมือง แต่ถ้าผมทำอย่างนั้นก็เท่ากับเป็นการปัดความรับผิดชอบในฐานะนักการเมืองท่ีต้องแก้ปัญหาให้ประชาชน
วันนั้นผมอาจจะคิดผิดก็ได้เพราะผมคิดว่าถ้าเราซื่อสัตย์ทำงานด้วยความอดทนอดกลั้น ไม่ทำตัวเป็นชนวนหรือเงื่อนไขของความขัดแย้ง พยายามรับฟังทุกฝ่ายทุกสิ่งทุกอย่างจะเดินไปได้ แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น ตั้งแต่วันแรกที่ผมชนะในสภาก็มีการใช้มวลชนเสื้อแดงพยายามทำร้าย ส.ส.ที่สนับสนุนผม แม้แต่ผมเองก็ยังต้องอาศัยรถตู้ของคุณเทพไท เสนพงศ์ ออกมา เพื่อหลีกเลี่ยงการผชิญหน้าที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง ผมบอกกับตัวเองตั้งแต่วันนั้นว่า ชีวิตผมกำลังเปลี่ยนแปลงและอาจสุ่มเสี่ยงต่อการที่จะมีชีวิตสั้นกว่าวัยอันควร เพราะมีคนใช้ความรุนแรงข่มขู่ทางการเมือง แต่ผมก็ยังเลือกที่จะทำหน้าที่เดินหน้าประเทศไทยเพื่อรักษาสัญญาที่ให้กับพี่น้องประชาชนที่ให้โอกาสผมเป็น ส.ส.คนเดียวของพรรคประชาธิปัตย์ในกรุงเทพมหานครว่า "ถ้ามีโอกาสผมจะสร้างรากฐานเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ประชาชนมีความมั่นคงในชีวิต" และผมก็ดำเนินการทันทีท่ามกลางวิกฤติซ้อนวิกฤติ ผมยังเดินหน้าสร้างระบบสวัสดิการให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ประชานิยมแต่เป็นประชายั่งยืน และไม่ได้เสียสมาธิกับปัญหาทางการเมืองจนเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน
ผมยืนยันได้ครับว่าตลอดการทำงานการเมืองเกือบ 20 ปี อุดมการณ์ในการเข้าสู่การเมืองเป็นอย่างไรไม่เคยเปลี่ยนแปลง และทุกการตัดสินใจล้วนแต่ยึดประโยชน์ประชาชนทั้งสิ้น ผมทราบว่าหลายคนได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเพื่อปั่นกระแสให้ไม่เชื่อมั่นในตัวผม แต่ผมหวังว่าความจริงที่ผมเล่าให้ฟังนี้ จะทำให้ประชาชนได้เห็นว่า ยังเชื่อมั่นผมได้เพราะผมไม่เคยเปลี่ยนอุดมการณ์ และพร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขเคียงข้างกับคนไทยเพื่อเดินหน้าประเทศต่อไป
ผมมาทบทวนดูว่า การเข้าสู่ตำแหน่งและการดำรงตำแหน่งของผม ขัดกับหลักประชาธิปไตยไหม ผมว่ามันไม่ใช่ ผมได้รับการยืนยัน การสนับสนุนจากสภาตลอด 2 ปี แม้แต่คนเสื้อแดงก็ไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไขการชุมนุม จนเวลาผ่านไปเป็นปี ถ้าผมจะมีความผิดก็คงมีแค่ประการเดียว คือ ผมเป็นนายกฯในระบบสภาคนแรกหลังปี 2550 ที่คุณทักษิณสั่งไม่ได้

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ปรีดีกับเเผนการปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ฉลองมิตรภาพ500ปี สัมพันธ์ไทย-โปรตุเกส

วันที่ 09 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7466 ข่าวสดรายวัน

โดย ณอร อ่องกมล
ที่มา


















เมื่อ เอ่ยถึงโปรตุเกส สิ่งที่ทำให้คนไทยนึก ถึงอาจเป็นขนม "ฝอยทอง" ตามฉายาของประเทศนี้ ซึ่งเป็นขนมที่เผยแพร่เข้ามาในไทยพร้อมกับทองหยิบและทองหยอด ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยสตรีนามว่า ดอญา มารี กีมาร์ เดอ ปีนา หรือ ท้าวทองกีบม้า

ส่วนบรรดาแฟนฟุตบอลยุโรป อาจนึกถึงนักเตะซูเปอร์สตาร์อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้, หลุยส์ นานี่ หรือ โค้ชจอมซ่า โฮเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งออกแอ๊กชั่นให้ชมกันทุกสัปดาห์

แต่ความสัมพันธ์ของไทยกับโปรตุเกสไม่ได้มีผิวเผินเพียงเท่านี้ ในด้านประวัติศาสตร์ ไทยและโปรตุเกสดำเนินความสัมพันธ์มาครบถึง 500 ปีแล้วในปีนี้ เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน และนานที่สุดในบรรดาประเทศยุโรปที่มาเยือนสยามประเทศ

มอง ย้อนกลับไปเมื่อปีพ.ศ.2054 (ค.ศ. 1511) โปรตุเกสเริ่มทำการค้ากับประเทศในแถบเอเชีย และยึดครองดินแดนมะละกาได้เป็นที่สำเร็จ อะโฟซู เดอ อะบูแคร์ก ส่งทูตที่มีนามว่า ดูอาร์ต เฟอร์นันเดส เข้ามายังราชสำนักในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าการเข้ามายังประเทศสยามมิได้มีเจตนาอันเป็น ปฏิปักษ์แต่อย่างใด

ผลพลอยได้จากการเจรจาในครานั้น ชาวโปรตุเกสหลายคนได้รับพระมหากรุณาธิคุณ เป็นที่ดินและการอนุญาตให้ตั้งรกรากในสยามได้ ส่งผลให้การค้าขาย และการเผยแผ่ศาสนาเกิดขึ้น รวมไปถึงความรู้ทางยุทธศาสตร์การรบและอาวุธสมัยใหม่ ที่ โปรตุเกสเชี่ยวชาญ ช่วยให้สยามรักษาอธิปไตยในช่วงสงครามกรุงศรีอยุธยาไว้ได้


1.-โบสถ์ซางตาครู้ส

2.-โบสถ์คอนเซ็ปชัญ

3.-ภาพศิลปะไทย-โปรตุเกส

4.-โถงรับแขกภายในสถานทูตโปรตุเกส

5.-ห้องแต่งตัวของท่านทูต

6.-ดร.จอร์เจ ตอร์ริช เปเรย์รา

7.-ภาพเขียนสถานกงสุลและบ้านมิชชันนารี




ครั้น เมื่อสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ มอบที่ดินเพื่อก่อตั้งโบสถ์ อันเป็นศาสนสถานให้ชาวคริสตังโปรตุเกสประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้อย่างอิสระ

โบสถ์คอนเซ็ปชัญ โบสถ์คาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงเทพฯ เป็นหลังแรกที่ก่อสร้างขึ้น

เมื่อสิ้นสุดสมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชพระ ราชทานที่ดินในราชธานีกรุงธนบุรี เพื่อสร้างโบสถ์ซางตาครู้ส

และในสมัยของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ก็ได้พระราชทานที่ดินอีกแปลง เพื่อสร้างวัดพระแม่ลูกประคำ กาลหว่าร์

ในปีพ.ศ.2329 ชาวโปรตุเกสและคริสตังไทยเชื้อสายโปรตุเกส ได้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับสถานที่ทั้ง 3 แห่งนี้ จนปัจจุบันกลายเป็นชุมชนไทย-โปรตุเกส ที่ลูกหลานสองเชื้อชาติยังคงสืบทอดวัฒนธรรม และประเพณีดั้งเดิมของบรรพบุรุษเอาไว้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง 


เพื่อ เรียงร้อยเรื่องราวความน่าสนใจของชีวิตชาวโปรตุเกส ในวาระแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 500 ปี ความสัมพันธ์ไทย-โปรตุ เกส สถานเอกอัครราชทูตโปรตุเกสประจำประเทศไทย จัดนิทรรศ การที่เกี่ยวข้องต่อเนื่องจนถึงปลายปี



-บ้านพักรับรอง สถานทูตโปรตุเกส


ดร.จอร์ เจ ตอร์ริช-เปเรย์รา เอกอัครราชทูตโปรตุเกสประจำประเทศไทย กล่าวว่า นิทรรศการจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค. เป็นต้นไป เริ่มจากนิทรรศการ "การสืบสานมรดกทางประวัติ ศาสตร์ของโปรตุเกสทั่วโลก" ด้วยความร่วมมือกับมูลนิธิกาลูสต์ กุลแบงเกียน ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

นำเสนอประวัติศาสตร์การขยายอิทธิพลทางทะเลของโปรตุเกส และร่องรอยการแลกเปลี่ยนทางวัฒน ธรรมนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา

รวมถึงการจัดแสดงแหล่งโบราณสถานโปรตุเกส ที่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์แล้ว

จาก นั้นในวันที่ 3 มิ.ย. เป็นกิจกรรม "ทัศนศึกษาครึ่งวันตามรอยโปรตุเกส" ด้วยการเยี่ยมชมสถานเอกอัครราชทูตและทำเนียบเอกอัครราชทูตโปรตุเกส ที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ในปีพ.ศ.2403 กับรูปลักษณ์ศิลปะสมัย โคโลเนียล พร้อมเครื่องเรือนที่สืบทอดมาจากอดีตโดยเอกอัครราช ทูตนำชมด้วยตนเองพร้อมเยี่ยมชมวัดพระแม่ลูกประคำ กาลหว่าร์ โบสถ์คอนเซ็ปชัญ โบสถ์ซางตาครู้ส และแวะรับประทานขนมกุฎีจีน ขนมดั้งเดิมของโปรตุเกส

วัน ที่ 7 ก.ค. เป็นนิทรรศการ "อิทธิพลร่วมระหว่างศิลปะไทยและศิลปะโปรตุเกสที่มีต่อกัน" เป็นการนำผลงานการแกะสลักจากงาช้างและหีบโบราณ งานศิลปะที่ ตาวูรา ซือเกยรา ปิงตู นักสะสมศิลปะชาวโปรตุเกส นำมาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

ใน เดือนตุลาคมกับนิทรรศการศิลปะ "ภาพแห่งความประทับใจ ไทย-โปรตุเกส" ที่ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม จัดแสดงภาพถ่ายและภาพวาดความประทับจาก 2 ศิลปิน 2 สัญชาติ ไทย-โปรตุเกส เมื่อครั้งได้ไปเยี่ยมเยือนดินแดนของกันและกัน

วันที่ 13 ต.ค. รับฟังการขับร้องเพลง "ฟาดู" อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะทางดนตรีของโปรตุเกส ในงานมหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติ ครั้งที่ 13 ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยศิลปินดนตรีฟาดูระดับโลก คาเทีย กือเรยรู

ปิด ท้ายการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ด้วยการสัมมนาวิชาการ เรื่อง "500 ปี ความสัมพันธ์ไทย-โปรตุเกส" ระหว่างวันที่ 2-4 พ.ย. ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

การจัดกิจกรรมต่างๆ ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศให้แนบแน่นยิ่งขึ้น แต่ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะยกระดับและขยายขอบเขตความร่วมมือ และการทำธุรกิจที่จะเป็นประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย

โปรตุเกสเป็นประเทศ แรกๆ ที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย การผูกมิตรของ 2 ประเทศที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การรักษามิตรภาพที่ดีต่อกัน แม้เวลาจะผ่านไปนานกว่าครึ่งศตวรรษนั้นสำคัญยิ่งกว่า

เพราะแสดงถึงความเป็นมิตรประเทศที่แท้จริง

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Malaysia blames Thailand over Cambodia border clash

By Bangkok Pundit May 09, 2011 6:36PM UTC


"Thailand and Cambodia agreed in February to accept Indonesian military observers on the border but the initiative remains on ice due to Thai demands that Cambodia first pull troops out of the temple.
“An agreement had been agreed upon, (Thailand) should adhere to it, I wouldn’t want to say lacking in faith… (but) they did not adhere to the agreement,” Malaysian deputy foreign minister Richard Riot Jaem told reporters.
“Thailand refused and that’s why the skirmish came again,” said Riot, who attended the Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) meeting where it was agreed 30 observers would be stationed on either side of the border.
“All the 10 countries, I stress, including Thailand and Cambodia, agreed to the agreement but sad to say, the agreement was brought back to the respective two countries. Cambodia accepted it, Thailand did not accept,” he said.
Before this, Cambodia was pointing at Thailand as starting the attack and Thailand said it was Cambodia who started …so to (determine) who started the skirmish… the foreign ministers decided to assign obervers.”
BP: One of the problems regarding the conflict is that it has become as he said/she said debate with Cambodia blaming Thailand and Thailand blaming Cambodia. Both sides have their own version of the “truth”. Outsiders have mainly kept quiet, or at least publicly. The statement above by the Malaysian deputy foreign minister is fairly clear in its criticism of Thailand. In fact, it is rather surprising that there is such a statement! However, expect statements from the Thai side that Malaysia “understands” the Thai position and he was not criticizing Thailand. The Malaysian position is fairly simple. A deal was agreed upon by all sides a few months ago and now Thailand is not willing to agree to that.
Now, having said that the latest clashes occurred in Surin Province and not near Preah Vihear where the observers are meant to be located so there is a question whether the observers at Preah Vihear could prevent clashes in Surin so perhaps some should also be situated at other hot spots too….
Now, Malaysia is not blaming Thailand for starting the clashes, but they do appear to be holding Thailand responsible for what has transpired with the recent clash.
btw, will PAD march in front of the Malaysian Embassy to protest foreign “interference” as they did with the Indonesians?

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สงครามเกาหลี...



ภาพเหตุการณ์ในสงครามเกาหลี (วิกิพีเดีย) (เรียงลำดับตามเข็มนาฬิกาจากล่างสุด) : ร้อยโทบัลโดเมโร โลเปซ แห่งนาวิกโยธินสหรัฐฯ นำกำลังพลเคลื่อนเข้าสู่เมืองอินชอน; กองทัพสหประชาชาติข้ามเส้นรุ้งที่ 38 องศาเหนือ; กองทหารสหรัฐฯ จับเชลยฝ่ายคอมมิวนิสต์จีนในแนวรบเกาหลีตอนกลางที่เมืองฮองซอง; เครื่องบินบี-26 ของกองทัพอากาศเกาหลีที่ 5 ทำการทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายของเกาหลีเหนือ; เด็กหญิงชาวเกาหลีอุ้มน้องชายหนีภัยสงครามมายังฝั่งเกาหลีใต้

คมชัดลึก &สนุก! พีเดีย : หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาหลีถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยเส้นขนานที่ 38 ส่วนหนึ่งเกาหลีเหนือเป็นเขตอุตสาหกรรมของประเทศในขณะนั้น อยู่ในความควบคุมของรัสเซียหรือว่าสหภาพโซเวียต ส่วนเกาหลีใต้ส่วนใหญ่เป็นเขตเกษตรกรรม อยู่ในความควบคุมของสหรัฐอเมริกา
ประเทศเกาหลีโดนยึดครองโดยประเทศญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ ฝ่ายพันธมิตรได้แบ่งดินแดนของเกาหลีเป็นสองส่วน โดยส่วนเหนือยอมแพ้ต่อโซเวียต และส่วนใต้ยอมแพ้ต่อสหรัฐอเมริกา มีเส้นแบ่งอยู่ที่เส้นขนานที่ 38 ทางสหประชาชาติมีแผนจะจัดการเลือกตั้งใน ค.ศ. 1948 แต่ได้รับการปฏิเสธจากโซเวียต และตั้งรัฐบาลคอมมิวนิสต์ขึ้นมาเอง
 

วันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1950 ทหารฝ่ายเกาหลีเหนืออาศัยอาวุธยุทโธปกรณ์ของโซเวียตบุกข้ามเส้นขนานที่ 38 ลงมา วันที่ 28 มิถุนายน ก็สามารถยึดกรุงโซลได้ สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน ได้สั่งการให้นายพลดักลาส แมคอาเธอร์ ผู้บัญชาการภาคพื้นแปซิฟิกในขณะนั้น ให้ทำการตอบโต้

ประวัติศาสตร์ว่าด้วยสงครามเกาหลีได้บันทึกเอาไว้ว่า ผู้บุกรุกมีความกล้าหาญอย่างบ้าคลั่ง ทั้งด้วยอาวุธที่มีและทหารที่มากกว่า ซึ่งผ่านประสบการณ์รบในสงครามโลกครั้งที่ 2 มาแล้วอย่างโชกโชน และเป็นที่รู้กันดีว่ามีกองทัพจีนคอมมิวนิสต์หนุนหลังอยู่

 กล่าวกันว่าจีนต้องการแสดงให้โลกเห็นว่าสามารถที่จะเข้ายึดเอเชียเมื่อไหร่ก็ได้ ในขณะที่รัสเซียก็คาดว่า อเมริกาคงจะไม่เข้ามายุ่งด้วย เพราะอยู่ห่างจากคาบสมุทรเกาหลีออกไปถึง 7,000ไมล์ แต่ก็คาดผิด
 เพราะทั้งอเมริกาและองค์การสหประชาชาติที่เพิ่งจะตั้งมาได้ 5 ปี ต่างร่วมมือกันเข้าช่วยเกาหลีใต้ในนามของกลุ่มประเทศโลกเสรี มีจุดหมายเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ผู้รุกรานโดยตรง
 สงครามบนคาบสมุทรเกาหลีเมื่อ 60 ปีก่อนจึงเท่ากับสงครามแรกในยุคโลกสงครามเย็นอันเป็นสงครามตัวแทนระหว่างค่ายเสรีกับค่ายคอมมิวนิสต์ที่ไม่มีการประกาศเป็นทางการแต่อย่างใด
 ฝ่ายเกาหลีเหนือมีจีนกับสหภาพโซเวียต ส่วนฝ่ายเกาหลีใต้มีสหรัฐอเมริกากับสหประชาชาติอันประกอบไปด้วยแคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย ฯลฯ และรวมทั้งไทยเราด้วย
 สงครามเกาหลีนับว่าเป็นสงครามที่นองเลือดรุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่ง
 การรบเท่าที่ประวัติศาสตร์ได้บรรยายไว้ว่าทั้งสองฝ่ายสู้กันในภูมิประเทศส่วนใหญ่ที่เป็นทั้งภูเขาสูงขรุขระ หุบเหวลึกและแม่น้ำลำธารที่คดเคี้ยวไปมาอย่างเอาแน่ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาวที่สยดสยองทารุณทั้งจากอากาศที่เย็นเยือก และมีลมพัดแรงอยู่ตลอดเวลา
 ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดทั้งด้วยทหารราบบนพื้นดิน เครื่องบินรบในอากาศ และเรือรบในทะเล และทั้งจากอาวุธนานาชนิดที่ได้พัฒนามาจากสงครามโลก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบิน รถถัง ปืนใหญ่ ปืนกล และระเบิดเพลิงอย่างนาปาล์ม
 ว่ากันว่ารถถัง เครื่องบินเจ็ตของรัสเซียมีพลังอำนาจมาก แต่เครื่องบินของอเมริกาและอังกฤษยิ่งมีประสิทธิภาพในการทำลายล้างได้มากกว่า เพราะสามารถเข้าโจมตีข้าศึกแบบปูพรมได้ถึงพันครั้งต่อวัน
 ทั้งสองฝ่ายจึงสู้กันอยู่ในท่ามกลางกองซากศพจำนวนมหาศาล
 เมื่อแรกฝ่ายเกาหลีใต้ถอยร่นเกือบตกทะเลแต่ต่อมาก็ตีโต้และรุกคืบเข้าจนถึงเปียงยางเมืองหลวงของเกาหลีเหนือ ก่อนที่ทั้งอเมริกา รัสเซียและจีนจะได้คิดว่า อาจจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้นได้ ทั้งสองฝ่ายจึงได้เจรจาทำสัญญาสงบศึกต่อกันพร้อมกับที่ต่างถอยมาตั้งหลักอยู่ในที่เดิมหลังจากที่รบกันมา 3 ปีเต็มพอดี สงครามเกาหลี ฝ่ายโลกเสรีสูญเสียทหารไปกว่า 4 แสนคน ทั้งที่ถูกฆ่าตาย ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ บาดเจ็บ และพิการอีกนับแสน และในจำนวนนี้เป็นทหารอเมริกันกว่า 1.3 แสนคน ส่วนฝ่ายคอมมิวนิสต์กล่าวกันว่า มากกว่าถึง 4 เท่าตัว อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านคน
 ถือเป็นสงครามที่นองเลือดน่าสยดสยองมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ดังนั้นจึงไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นมาอีก นอกจากการซ้อมรบอย่างที่เห็นกันอยู่

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สหรัฐอเมริกา; ความมั่นคงศึกษา – เมื่อถึงเวลาทหารกลับบ้าน แล้วไปเลือกประธานาธิบดี

พันเอก ดร.ธีรนันท์ นันทขว้าง
นักวิชาการด้านความมั่นคงอิสระ





             ข่าวการเสียชีวิตของ อุซามะห์ บิน ลาดิน (Osama Bin Laden) ผู้เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งและหัวหน้ากลุ่มอัลกออิดะห์ ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายสากลมุสลิมนิกายซุนนี จากการปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐอเมริกา ได้ปรากฏเป็นข่าวที่ตามสื่อทั่วโลก นอกจากนี้ได้มีประชาชนสหรัฐฯ จำนวนมากออกมาเฉลิมฉลอง แสดงความยินดีเป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งที่เป็นเช่นนี้เพราะ มีความรู้สึกสะใจ หรือ ดีใจ ที่ความรู้สึกเจ็บปวดจากเหตุการณ์ก่อวินาศกรรม 11 ก.ย. 44 ได้รับการสะสางหรือแก้แค้น

            อย่างไรก็ตามความดีใจเกิดขึ้นได้ไม่นานก็ปรากฏข่าวสารต่างๆ ที่ทะยอยออกตามมา ภายหลังจากการประกาศอย่างเป็นการว่า บิน ลาดิน ได้เสียชีวิต โดย บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าให้ระมัดระวังการก่อการร้ายในระดับที่สูงสุด เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการแก้แค้นให้กับ บิน ลาดิน โดยกลุ่มก่อการร้าย

            นอกจากนี้การเสียชีวิตของบิน ลาดิน กับกลายมาเป็นคำถามว่าเขาเสียชีวิตจริงหรือไม่ เพราะมีการส่งภาพที่ตกแต่งโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แพร่กระจายอยู่บนอินเตอร์เน็ต ประกอบกับการปฏิบัติการต่างๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงการฝังศพ และ การตรวจ DNA ยืนยัน ทำให้หลายๆ ฝ่ายต่างกังขากับข่าวสารที่ออกมา ถึงแม้จะมีการแถลงการณ์อย่างเป็นทางการของประธานาธิบดี โอบามา ยืนยันก็ตาม แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ผลกระทบจากการแถลงการณ์ฯ และการเสียชีวิตของ บิน ลาดิน จะนำไปสู่อะไรนั้นเป็นเรื่องที่ต้องรอการพิสูจน์ต่อไป แต่จากนี้ไป กองกำลังของสหรัฐฯ คงจะได้กลับบ้านเพราะภารกิจที่สำคัญได้เสร็จสิ้นลงแล้ว


สถานะปัจจุบันของทหารสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน และอิรัก

            ปัจจุบันกองทัพสหรัฐฯ มีกำลังพลประจำการในอัฟกานิสถาน 90,000 นาย ภายใต้การนำของ องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organization : NATO) หรือที่เรียกว่า นาโต้ โดย สหรัฐฯ ได้สูญเสียกำลังไปในสมรภูมิอัฟกานิสถาน 1,406 นาย บาดเจ็บ 10,944 นาย กองกำลังรับจ้างของสหรัฐฯ (Private Military Company or Contractors) เสียชีวิต 1,764 คน และบาดเจ็บ 11,758 คน (ยอดวันที่ 4/5/54 จากเวบ Wikipedia) นับตั้งแต่สหรัฐฯ เริ่มส่งกำลังเข้าไปในอัฟกานิสถาน เมื่อเกือบ 10 ปีก่อนหน้านี้ ภายหลังจากเหตุการณ์ก่อวินาศกรรม 11 ก.ย. 44 ด้วยข้อกล่าวหาให้ที่พักพิงผู้ก่อการร้าย

            ส่วนในพื้นทีใกล้เคียงอย่างอิรัก ปัจจุบัน สหรัฐฯ มีทหารประจำการอยู่ 47,000 นาย เสียชีวิตทหารไป 4.444 นาย บาดเจ็บ 32,051 นาย เป็นทหารชาย 98% ชั้นประทวน 91% ทหารประจำการ 82% กองกำลังทหารป้องกันชาติ (National Guard) 11% ทหารที่เสียชีวิตที่อายุต่ำกว่า 25 ปี 54% ทหารบกเสียชีวิตมากที่สุด 72% สำหรับผู้บาดเจ็บ ที่สาหัสนั้นมีถึง 20% (ข้อมูลจาก เวบ usliberals.about.com)

            สำหรับค่าใช้จ่ายของสหรัฐฯ ในส่งกองกำลังทหารออกมาประจำการในอัฟกานิสถาน ทางส่วนงานวิจัยของสภาสหรัฐฯ (The Congressional Research Service (CRS)) ประมาณค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน (ประมาณ 108 พันล้านบาทต่อเดือน) และรวมค่าใช้จ่ายตั้งแต่เริ่มส่งกำลังเข้าไปในอิรัก นั้นปัจจุบัน ใช้งปประมาณไปกว่า 4.01 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 120.3 ล้านล้านบาท)

            ส่วนอิรักนั้นสหรัฐฯ มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า โดยทางส่วนงานวิจัยของสภาสหรัฐฯ (The Congressional Research Service (CRS)) และ อิโคโนมิสต์ (The Economist) ได้ประมาณการค่าใช้จ่ายของสหรัฐฯ ว่าใช้งบประมาณ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อสัปดาห์ (ประมาณ 6 หมื่นล้านบาทต่อสัปดาห์) ไปจนถึง 12 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน (ประมาณ 36 หมื่นล้านบาทต่อเดือน) และรวมค่าใช้จ่ายตั้งแต่เริ่มส่งกำลังเข้าไปในอิรัก นั้นปัจจุบัน ใช้งปประมาณไปกว่า 7.88 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 236.4 ล้านล้านบาท)

            ค่าใช้จ่ายรวมทั้งในอัฟกานิสถานและอิรักจนถึงปัจจุบันนั้นสหรัฐฯ ใช้งบประมาณรวม 11.89 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 356.7 ล้านล้านบาท) หากอยากทราบว่าเป็นงบประมาณทีมากแค่ไหน ให้ลองเปรียบเทียบดูกับ GDP ของประเทศไทยในปี 53 อยู่ที่ 584.768 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว สหรัฐฯ จะมีค่าใช้จ่ายในสงครามอิรักและอัฟกานิสถาน ต่อปีนั้นประมาณหนึ่งในสามของ GDP ประเทศไทย

            ส่วนสาเหตุที่ค่าใช้จ่ายในอิรักของสหรัฐฯ ใช้งบประมาณที่สูงกว่าค่าใช้จ่ายในอัฟกานิสถาน เพราะสหรัฐฯ รับผิดชอบการปฏิบัติการในอิรักทั้งหมด ส่วนในอัฟกานิสถานนั้น องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ จะเป็นผู้ที่รับผิดชอบหลัก สหรัฐฯ นั้นเพียงแต่ส่งกำลังทหารเข้าร่วม (เข้าร่วมในสัดส่วนมากที่สุด) โดยในสหรัฐฯ นั้นมีหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในการส่งกำลังทหารเข้าไปใน อิรักและอัฟกานิสถาน ได้พยายามเผยแพร่ข้อมูลงบประมาณ และการสูญเสีย ตัวอย่างเช่น ในเวบไซต์ cost of war ได้แสดงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลาในหลักวินาที


นโยบายพาทหารกลับบ้าน

            หากย้อนไปในช่วงก่อนที่ประธานาธิบดี โอบามา จะขึ้นรับตำแหน่งนั้น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นชัดเจนคือ เขามีนโยบายที่สวนทางกับ อดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในเรื่องการทำสงครามกับอิรัก ประธานาธิบดี โอบามา นั้นมีท่าที่ต่อต้านการทำสงครามกับอิรัก และยังเคยหาเสียงด้วยซ้ำว่า หากเขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานธิบดีสหรัฐฯ เขาจะถอนกำลังออกจากอิรักภายใน 16 เดือน

            นอกจากนี้ ประธานาธิบดี โอบามา ยังได้แสดงเจตจำนงค์ตอนหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีว่า ถ้าหากเขาได้รับเลือกตั้ง เขาจะออกกฎหมายตัดงบประมาณประมาณ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อยุติการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไม่สามารถพิสูจน์ที่มาได้ เพื่อนำมาใช้ในระบบการป้องกันประเทศ มีแนวคิดที่จะลดการพัฒนาขีดความสามารถทางการรบและระบบอาวุธลง รวมถึงการกำจัดอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมด โดยเริ่มจากการลดการสั่งสมอาวุธนิวเคลียร์ที่มีประจำการในปัจจุบันลง อีกทั้งออกกฎหมายห้ามการผลิตหรือหาวัตถุดิบในการผลิตอาวุธ จากทั่งโลก รวมถึงความพยายามในการหาทางเจรจากับรัสเซียเพื่อลด ขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ เพื่อนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่าง สหรัฐฯ กับรัสเซีย

            ต่อมาเมื่อโอบามาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 19 ม.ค.52 และ เมื่อ เม.ย.52 ประธานาธีบดี โอบามา ได้เดินทางไปที่อิรัก และกล่าวว่า เขาจะลดทหารสหรัฐฯ และถอนกำลังทหารออกจากอิรักลงในห้วงเวลา 18 เดือนข้างหน้า และให้ชาวอิรัก เลือกแนวทางความมั่นคงและรับผิดชอบตนเอง หลังจากการตัดสินใจยุติภารกิจในอิรัก โดยการค่อยๆ ลดกำลังทหารสหรัฐฯ ที่ประจำการลง ทำให้สหรัฐฯ สามารถที่จะเพิ่มกำลังทหารเข้าไปในอัฟกานิสถานได้ ต่อมาเมื่อ ธ.ค.52 ประธานาธิบดี โอบามา ได้ประกาศเพิ่มทหารเข้าไปในอัฟกานิสถานจำนวน 35,000 นาย ตามที่ผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐฯ และองค์การนาโตในอัฟกานิสถาน ร้องขอ


ภาพที่ 1 สถิติการเสียชีวิต International Security Assistance Forc: ISAF ในอัฟกานิสถาน



        ในภาพที่ 1 แสดงให้เห็นระดับความรุนแรงของสถานการณ์ที่มีทิศทางที่รุนแรงมาในห้วง ปี 50 และสถานการณ์มีความรุนแรงขึ้นเรื่อย จนกระทั้ง สหรัฐฯ เพิ่มกำลังเข้าไปในอัฟกานิสถาน ในปี 53 โดยการปฏิบัติการทางทหารที่เพิ่มมากขึ้นได้ส่งผลให้ กองกำลัง ISAF เริ่มทำการรุก ทำให้กลุ่มตาลีบาน เสียชีวิตไปกว่า 900 คน และในช่วงดังกล่าวมีการใช้ ระเบิดแสวงเครื่อง (Improvised Explosive Device) จำนวนมาก และส่งผลให้ทหารของ ISAF ที่มีสหรัฐฯ ประจำการเป็นจำนวนมาก และมีผู้เสียชีวิตมากขึ้นตามไปด้วย

            แต่บนการปฏิบัติการทางหหารที่เพิ่มมากขึ้น ในทางกลับกัน ก็เริ่มมีการผลักดันใหเกิดการเจรจา โดยประธานาธิบดี ฮามิด การ์ไซ (Hamid Karzai) ของอัฟกานิสถาน เพื่อให้เกิดสันติภาพมากขึ้นไป โดยความพยายามจะเจรจากับกลุ่มตาลีบาน พร้อมๆ กับการปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ แต่ในช่วงเดือน ก.ค53 สหรัฐฯ ก็เริ่มประสบปัญหาในการปฏิบัติการพอสมควร เนื่องจากชาวบ้านไม่ชอบทหาร ไม่ยอมรับความช่วยเหลือต่างๆ จากกองทัพสหรัฐฯ และรวมไปถึงการขว้างปาหินใส่กองกำลังทหารสหรัฐฯ ขณะกำลังลาดตระเวณ

            แต่อย่างไรก็ตามตลอดช่วงปี 53 สหรัฐฯ ได้เพิ่มระดับการปฏิบัติการทางทหารจำนวนมาก เพื่อกดดันกับกลุ่มตาลีบาน และสหรัฐฯ ยังมีแผนที่จะถอนกำลังออกจาก อัฟกานิสถาน โดยส่งมอบการรักษาเสถียรภาพให้กับกองกำลังรักษาความปลอดภัยของอัฟกานิสถาน ในเดือน ก.ค.54 ดังจะเห็นได้จากการเร่งสร้างกองทัพกองทัพบกอัฟกานิสถาน จำนวน 134,000 นาย เมื่อ ต.ค.53 และมีเป้าหมายให้กองทัพอัฟกานิสถานมีกำลังทหารบก 171,000 นาย ภายในปี 54

ภาพที่ 2 แสดงระดับกำลังสหรัฐฯ ที่ประจำการในอิรัก


            ในสำหรับสถานการณ์ในอิรัก ภาพที่ 2 จะแสดงให้เห็นถึงกำลังทหารประจำการในอิรักมีแนวโน้มที่ลดลงตามนโยบายของ ประธานาธิบดี โอบามา ประกาศไว้เมื่อ 1 ก.ย.53 อย่างเป็นทางการว่าจะยุติภารกิจสู้รบของทหารอเมริกันในอิรักที่ดำเนินมานาน 7 ปี และบอกกับชาวอเมริกันว่าภารกิจหลักคือการฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐ โดยกล่าวชมกองทัพว่าได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญ เสียสละ รวมถึงกล่าวว่าภารกิจสู้รบของทหารอเมริกันในอิรักได้ยุติลงแล้ว ต่อจากนี้ไปสหรัฐฯ จะเริ่มถอนกำลังออกจากอิรัก และให้ชาวอิรักจัดการและรับผิดชอบดูแลความมั่นคงของประเทศตนเอง และเขายังได้กล่าวยืนยันว่าเขาได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ก่อนการเลือกตั้งว่าเขาจะนำทหารสหรัฐฯ กลับบ้าน

            ผลจากการประกาศยุติการส่งทหารเข้าไปประจำการในอิรัก ของประธานาธิบดี โอบามา ได้มีนักวิเคราะห์หลายคนได้มองว่าการตัดสินใจของประธานาธิบดี โอบามา ครั้งนี้จะส่งผลต่อคะแนนนิยมของเขา 4 ด้านคือ

                1) เป็นการทำตามนโยบายที่ได้ให้ไว้ก่อนการเลือกตั้ง ทำให้ได้คะแนนนิยมในด้านการเป็นผู้นำ

                2) เป็นการประหยัดงบประมาณจำนวนมหาศาลที่สหรัฐฯ ต้องจ่ายเพื่อทำสงคราม ซึ่งจะส่งผลให้ได้คะแนนนิยมในด้านเศรษฐกิจ

                3) เป็นการสงวนทรัพยากรทางทหารเพื่อให้สหรัฐฯ สามารถบริหารจัดการกิจการด้านความมั่นคงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ได้รับคะแนนนิยมในด้านความมั่นคง

                4) เป็นการเพิ่ม บทบาทที่ดีขึ้นกับประเทศมุสลิม หากมีการถอนทหารออกจากพื้นที่ตะวันออกกลางจริง ซึ่งจะส่งผลให้ได้รับคะแนนนิยมในด้านกิจการต่างประเทศและการทูต



ผลจากการปฏิบัติการสังหารบิน ลาเดน

            จากที่กล่าวมาในข้างต้น จะเห็นได้ว่าการที่สหรัฐฯ ส่งกำลังทหารออกมายังตะวันออกกลาง เป็นระยะเวลานาน ด้วยสาเหตุเริ่มแรกคือ ภายหลังจากการก่อวินาศกรรม 11 ก.ย.44 ด้วยการกล่าวหาว่ากลุ่มอัลกออิดะห์ ที่มี นาย บิน ลาเดน เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง จากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านมากว่า 10 ปี สหรัฐฯ ได้สูญเสียงบประมาณ จำนวนมหาศาล และชีวิตทหารจำนวมาก และยังไม่มีแนวโน้มที่สถานการณ์ต่างๆ จะดีขึ้น ประกอบกับการเข้าการส่งกำลังออกไปยังอัฟกานิสถานและอิรัก นั้นเป็นนโยบายของอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช สังกัดพรรคริพับลิกัน แต่ปัจจุบัน เก้าอี้ประธานาธิบดี ได้เป็นของ โอบามา สังกัดพรรคเดโมแครต ผู้ซึ่งมีนโยบายที่ชัดเจนว่าจะพาทหาสหรัฐฯ ที่อยู่ในอิรัก และอัฟกานิสถาน กลับบ้าน

            ประกอบกับเดือน ก.ค.54 นี้ สหรัฐฯ มีแผนที่จะถอนกำลังออกจาก อัฟกานิสถาน การเสียชีวิตครั้งนี้ของ บิน ลาเดน จึงเป็นเรื่องที่สามารถตอบคำถามการถอนกำลังกลับได้เป็นอย่างดียิ่ง เพราะสาเหตุของการส่งทหารออกเพื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ได้บรรลุผล เป็นการแสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ ไม่ได้กลับบ้านมือเปล่า สามารถซื้อใจประชาชนชาวอเมริกันไว้ได้

            ความจริงหากเข้าใจการเพิ่มกำลังทหารสหรัฐฯ ในปี 53 และการเพิ่มระดับการปฏิบัติการทางทหารที่ไล่ล่า ผู้นำตาลีบาน จวบจนกระทั่งเจอบิน ลาเดน และสังหารได้ในที่สุดนั้น เป็นเหตุการณ์ที่มีความต่อเนื่องและสมเหตุสมผล สหรัฐฯ สามารถสังหารผู้นำตาลีบานได้ถึง 900 คน นั่นก็หมายถึง การสลายขีดความสามารถของตาลีบาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่คอยคุ้มครองให้กลุ่มอัลกออิดะห์ ทำให้ปรากฏการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนและสอดคล้องกับแผนการถอนทหารที่จะเกิดขึ้น ใน ก.ค.54 นี้

            ถึงแม้การเสียชีวิตของบิน ลาเดนนั้น หลายฝ่ายอาจจะมีข้อสงสัยว่าเขาเสียชีวิตจริงหรือไม่ เขาอาจจะยังไม่เสียชีวิต หรือเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่นั่นก็ไม่สำคัญ เพราะไม่ว่าจะอย่างไรการเสียชีวิตของ บิน ลาดิน โดยการประกาศอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ได้กลายมาเป็นสัญญาลักษณ์ของการสิ้นสุดภารกิจที่ยาวนาน และเสียงบประมาณและชีวิตคนอเมริกัน ไปจำนวนมาก และกองทัพสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ ประธานาธิบดี โอบามา ได้เป็นวีรบุรุษผู้ที่ได้แก้แค้นให้กับอเมริกันชน

            แต่ความจริงแล้วถึงแม้ สหรัฐฯ จะถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถานแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสหรัฐฯ จะทิ้งอัฟกานิสถานไปอย่างถาวร แต่ในทางกลับกัน สหรัฐฯ ได้ลงทุนสร้างสิ่งปลูกสร้างสำรับการเป็นฐานทัพถาวรในอัฟกานิสถาน สองถึงสามแห่ง ประกอบกับ ในปี 53 ที่ผ่านมาได้มีการประกาศจาก เพนตากอน ว่ามีการค้นพบสินแร่ที่มีมูลค่า กว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ จนมีการกล่าวกันว่า อัฟกานิสถาน จะกลายเป็น “Saudi Arabia of lithium” หรือ เป็นประเทศที่อุดมไปด้วยลิเทียม

            ไม่เพียงแต่มีแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์แล้ว อัฟกานิสถานยังเป็นประเทศที่มีภูมิรัฐศาสตร์ดีในแง่ภูมิประเทศสูงข่ม เพราะเป็นประเทศที่มีชายแดนติดกับประเทศอิหร่าน ชายแดนติดประเทศปากีสถานที่มีชายแดนติดกับอินเดีย และประเทศทาจิกิสถานที่มีชายแดนติดกับจีน ซึ่งหากมองผ่านมิติภูมิรัฐศาสตร์แล้ว อัฟกานสถานเป็นประเทศที่มี ภูมิยุทธศาสตร์ดี ที่เชื่อมโยงกับ 3 ประเทศที่มีความเกี่ยวพันเชิงผลประโยชน์กับ สหรัฐฯ คือ อิหร่าน จีน และ อินเดีย

            ดังนั้นการปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ที่เข้าสังหาร บิน ลาเดน จึงกลายมาเป็น จุดเริ่มที่ทหารสหรัฐฯ จะได้กลับบ้านเกิด ไม่ต้องมาเสี่ยงชีวิต ต่อจากนี้ไปจะทำการโอนความเสี่ยงให้กับ กองทัพอัฟกานิสถานให้สู้รบกับตาลีบานต่อไป ส่วนสหรัฐฯ ก็อาจจะคงกำลังไว้ในลักษณะของการเป็นที่ปรึกษาทางทหาร และ อาจจะได้ประโยชน์จากการเข้าไปมีสัมปทาน แร่ลิเทียม ในอัฟกานิสถาน และหลังจากทหารกลับบ้าน ทหารเหล่านั้นและพ่อแม่ญาติพี่น้องของทหารเหล่านั้น ก็จะพากันไปเลือกตั้งประธานาธิบดี ผู้ที่เป็นวีรบุรุษของชาวอเมริกันชน ที่สามารถแก้แค้นให้กับคนทั้งชาติ เรื่องเหล่านี้เป็นแค่นิทานที่ผมเล่า อย่าเชื่อเรื่องเล่าผมแต่ต้องรอดูกันต่อไป ...................เอวังครับ