My pix

My pix

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

'บินลาดิน'ตายแล้ว!!!ทหารUSบุกยิงหัวถึงที่พักในปากีฯ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์2 พฤษภาคม 2554 22:37 น.
                      สภาพคฤหาสน์ใหญ่โตที่ซ่อนตัวของ อุซามะห์ บิน ลาดิน ณ ย่านอับบอตตาบัด ชานกรุงอิสลามาบัด เมืองหลวงของปากีสถาน ภาพนี้ถ่ายภายหลังจากเขาถูกหน่วยปฏิบัติการพิเศษ “ซีลส์” ของสหรัฐฯ สังหารเสียชีวิตในวันอาทิตย์(1)

 เอเอฟพี /เอเจนซี/ ซีเอ็นเอ็น - อุซามะห์ บินลาดิน ผู้นำหมายเลขหนึ่งของเครือข่ายก่อการร้ายข้ามชาติ “อัลกออิดะห์” ถูกสังหารแล้ว จากการบุกจู่โจมโดยหน่วย “ซีลส์” อันเป็นหน่วยทหารปฏิบัติการพิเศษของสหรัฐฯ ณ คฤหาสน์ใหญ่โตชานเมืองหลวงปากีสถานเมื่อวันอาทิตย์ (1) ทั้งนี้จากคำแถลงยืนยันอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ในค่ำคืนแห่งประวัติศาสตร์วันเดียวกัน นับเป็นชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ของกองทัพอเมริกันในสมรภูมิกวาดล้างกลุ่มก่อการร้ายอันยืดเยื้อตั้งแต่เหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน 2001 เป็นต้นมา
       
       ประธานาธิบดีโอบามา แถลงที่ทำเนียบขาวเมื่อค่ำวันอาทิตย์ (1) ตามเวลาท้องถิ่น (เช้าวานนี้ตามเวลาเมืองไทย) โดยมีการแพร่ภาพสัญญาณสดไปทั่วประเทศ ระบุว่า "ค่ำคืนนี้ ผมสามารถแจ้งอเมริกันชน และชาวโลกให้รับทราบโดยทั่วกันว่า สหรัฐอเมริกาได้ปฏิบัติการสังหารอุซามะห์ บินลาดิน แกนนำอัลกออิดะห์ และผู้ก่อการร้ายซึ่งอยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมชาย, หญิง และเด็กผู้บริสุทธิ์หลายพันคนได้แล้ว"
       
       คำแถลงครั้งประวัติศาสตร์ของโอบามา ยังระบุด้วยว่า ตัวเขาเป็นผู้อนุมัติปฏิบัติการดังกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วให้กองกำลังติดอาวุธของสหรัฐฯ บุกโจมตีใส่พื้นที่กบดานของบินลาดินในเขตอับบอตาบัด ปากีสถาน ในวันอาทิตย์ (1)
       
       โอบามากล่าวว่า “เจ้าหน้าที่อเมริกันทีมเล็กๆ ทีมหนึ่งบรรลุภารกิจนี้ด้วยความกล้าหาญ และมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง โดยที่ไม่มีชาวอเมริกันคนใดได้รับบาดเจ็บ และพวกเขาก็ปฏิบัติการโดยหลีกเลี่ยงไม่ให้พลเรือนได้รับอันตราย”
       
       “และภายหลังการยิงต่อสู้ พวกเขาก็ปลิดชีพ อุซามะห์ บินลาดิน และนำศพของเขากลับออกมาด้วย” ผู้นำทำเนียบขาว ให้รายละเอียด “ความยุติธรรมเกิดขึ้นแล้ว"
       
       โทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น รายงานโดยอ้างแหล่งข่าว 3 แหล่ง ยืนยันเช่นกันว่า บินลาดินเสียชีวิตในปฏิบัติการโจมตีแมนชันแห่งหนึ่ง นอกกรุงอิสลามาบัด เมืองหลวงของปากีสถาน ส่วนเจ้าหน้าที่ด้านข่าวกรองของปากีสถานก็ยืนยันด้วยว่า แกนนำอัลกออิดะห์ได้เสียชีวิตลงแล้วโดยปฏิบัติการของหน่วยสืบราชการลับพิเศษ ทว่าก็ยังไม่ยืนยันว่า บินลาดินถูกสังหารที่ใด, อย่างไร และเมื่อใด
       
       นอกจากนี้สำนักข่าวรอยเตอร์และโทรทัศน์บีบีซี ยังรายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่หลายคนระบุด้วยว่า ปฏิบัติการจู่โจมสถานที่พำนักของบินลาดินในอับบอตาบัด คราวนี้ ได้ปลิดชีพบุตรชายคนหนึ่งของบินลาดิน รวมทั้งชายและหญิงอีกรวม 2 คนด้วย
       
       ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่สหรัฐฯผู้หนี่งได้บอกกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า หน่วย “ซีลส์” (SEALs) อันเป็นทหารปฏิบัติการพิเศษที่นำโดยกองทัพเรือสหรัฐฯ คือหน่วยที่เข้าดำเนินการจู่โจมคราวนี้
       
       เจ้าหน้าที่ผู้นี้เล่าว่า ทหารจากหน่วยซีลส์ทีมนี้ได้ถูกซีไอเอยืมตัวมาเพื่อการปฏิบัติการในช่วงคืนวันอาทิตย์ต่อกับก่อนรุ่งสางวันจันทร์ โดยที่พวกเขาอาศัยเฮลิคอปเตอร์บุกจู่โจมเข้าคฤหาสน์ที่บิน ลาดิน ซ่อนตัวอยู่
       
       ก่อนหน้านี้ มีสำนักข่าวหลายแห่งบอกว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ซึ่งกินเวลาน้อยกว่า 40 นาที ควบคุมและกำกับโดยผู้อำนวยการซีไอเอ ลีโอน พาเนตตา และเจ้าหน้าที่ข่าวกรองคนอื่นๆ ภายในห้องประชุม ณ ตึกสำนักงานใหญ่ของซีไอเอ ในมลรัฐเวอร์จีเนีย
       
       เจ้าหน้าที่สหรัฐฯผู้นี้ก็ยืนยันกับเอเอฟพีว่า “ความรับผิดชอบในการจู่โจมเป็นของ ลีโอน พาเนตตา ส่วนการปฏิบัติการจู่โจมนั้นดำเนินการโดยหน่วยซีลส์แห่งกองทัพเรือ”
       
       โทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นได้ระบุการปฏิบัติการครั้งนี้ว่า เป็น “ภารกิจสังหาร” ทว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐฯหลายรายบอกกับเอเอฟพีว่า บิน ลาดิน “ทำการต่อต้านดังที่พวกเราคาดหมายเอาไว้” ดังนั้นจึงถูกฆ่าตาย
       
       พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯหลายคนระบุด้วยว่า ศพของบิน ลาดิน ได้รับการฝังในทะเล เนื่องจากสหรัฐฯต้องการหลีกเลี่ยง ไม่ให้สถานที่ฝังศพของเขากลายเป็น “ที่สักการะบูชา” อีกทั้งไม่มีเวลาสำหรับการเจรจากับประเทศอื่นๆ เพื่อหาสถานที่ฝังศพ
       
       นอกจากนั้น ยังมีเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯผู้หนึ่งกล่าวด้วยว่า ศพของบิน ลาดิน ได้รับการจัดการอย่างถูกต้องตามหลักปฏิบัติและประเพณีอิสลามโดยที่สหรัฐฯถือว่าการปฏิบัติตามหลักอิสลามนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
       
       อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา โฆษกของ อัล อัซฮัร สถานศึกษาทางศาสนาอิสลามที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดของนิกายสุหนี่ ได้ออกมาแถลงว่า อิสลามนั้นคัดค้านการฝังศพลงในทะเล
       
       “ถ้าเป็นความจริงที่ศพนี้ถูกโยนลงไปในทะเลแล้ว อิสลามก็คัดค้านอย่างสิ้นเชิงต่อวิธีการเช่นนี้” มาหมูด อาซับ ที่ปรึกษาคนหนึ่งของ เชก อาเหม็ด อัล ทาเยบ หัวหน้าอิหม่ามแห่งอัล อัซฮัร ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ระบุ พร้อมกับอธิบายว่า อิสลามกำหนดให้ต้องฝังศพ ยกเว้นในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น พวกที่จมน้ำตาย
       
       ในอีกด้านหนึ่ง ภายหลังข่าวความสำเร็จของปฏิบัติการคราวนี้แพร่ออกไป ภาพข่าวโทรทัศน์อเมริกันก็ถ่ายทอดให้เห็นบรรยากาศบริเวณกราวด์ ซีโร ในมหานครนิวยอร์กอันเคยเป็นจุดที่ตั้งของตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ที่ถูกก่อวินาศกรรมจนพังถล่มลงมาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 โดยปรากฏว่า ชาวอเมริกันนับพันนับหมื่นคนได้แห่แหนมาชุมนุมกันที่นี่เพื่อเฉลิมฉลองต่อชัยชนะเชิงสัญลักษณ์นี้ พร้อมกับโบกธงชาติ และร้องตะโกนกึกก้องว่า “ยูเอสเอ ยูเอสเอ....” นอกจากนี้ บรรยากาศภายในสนามกีฬาในร่มหลายแห่งที่กำลังมีเกมการแข่งขัน ก็มีคนอเมริกันพร้อมใจกันเฉลิมฉลองในลักษณะเดียวกันนี้อย่างเนืองแน่น
       
       ทั้งนี้การตายของบินลาดินถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ในสงครามต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายอันยืดเยื้อเป็น 10 ปีมานี้ และนับตั้งแต่ที่เกิดเหตุการณ์วินาศกรรมจี้เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ และถล่มอาคารเพนตากอนจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตรวมถึงเกือบ 3,000 คนเมื่อปี 2001 เป็นต้นมานั้น สหรัฐฯ ก็พยายามตามล่าตัวการใหญ่ชาวซาอุฯ ผู้นี้มาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม บินลาดินก็มักหนีรอดจากเงื้อมมือของกองกำลังติดอาวุธของสหรัฐฯ ได้ชนิดที่ไม่มีใครทราบว่าเขากบดานอยู่แห่งหนใดแน่ ทว่าส่วนใหญ่ก็เชื่อว่า เขาน่าจะหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ชนเผ่าบริเวณตะเข็บชายแดนระหว่างปากีสถานกับอัฟกานิสถาน
       
       นอกเหนือจากโอบามาแล้ว อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้ซึ่งอยู่ในตำแหน่งเมื่อตอนที่เกิดเหตุการณ์วินาศกรรมครั้งนั้น และเป็นผู้นำพาสหรัฐฯ กระโดดเข้าสมรภูมิกวาดล้างกลุ่มก่อการร้ายนี้ ก็ได้ออกมาสรรเสริญว่า การตายของบินลาดินถือเป็นชัยชนะของคนอเมริกันทั้งประเทศ พร้อมกันนี้บุชก็ยังแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีโอบามา, หน่วยขาวกรองของสหรัฐฯ และทหารอเมริกันด้วย
       
       “ช่วงเวลาแห่งความสำเร็จนี้ถือเป็นชัยชนะของอเมริกา, ของผู้คนที่แสวงหาสันติภาพไปทั่วโลก และของทุกคนที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001” บุช กล่าว
       
       อย่างไรก็ตาม “การต่อสู้กับพวกก่อการร้ายยังคงดำเนินต่อไป ทว่าค่ำคืนนี้อเมริกาได้ส่งสาล์นซึ่งไม่ผิดพลาด นั่นก็คือ: ไม่ว่าจะใช้เวลายาวนานเพียงใด ความยุติธรรมจะบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
       
       ด้านกระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศส ก็ได้ออกมาแถลงยกย่องปฏิบัติการของสหรัฐฯ คราวนี้และสรรเสริญว่า “การตายของบินลาดินถือเป็นชัยชนะของประชาธิปไตยที่ต่อสู้ห้ำหั่นกับหายนะอันเลวทรามของพวกก่อการร้าย”
       
       “พวกก่อการร้ายได้พบกับความพ่ายแพ้ในหน้าประวัติศาสตร์ แต่นี่ไม่ใช่จุดจบของอัลกออิดะห์” ประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี ของฝรั่งเศส กล่าวในคำแถลงอีกฉบับ
       
       “ฝรั่งเศส สหรัฐฯ และยุโรป ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในการต่อสู้กับพวกก่อการร้าย ดังนั้นผมจึงดีใจมากที่ได้ยินข่าวนี้” อแลง ชูปเป รัฐมนตรีต่างประเทศของแดนน้ำหอมให้สัมภาษณ์วิทยุท้องถิ่นหลังจากประธานาธิบดีโอบามาแถลงยืนยันแล้ว
       
       ทางด้านรัสเซียก็ออกมายกย่องสรรเสริญว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ พร้อมกับระบุเพิ่มเติมว่า รัฐบาลมอสโกพร้อมจะร่วมมือกับวอชิงตันในการปราบปรามพวกก่อการร้ายให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก
       
       “พระราชวังเครมลินขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของสหรัฐฯ ที่สามารถชนะสงครามกับกลุ่มก่อการร้ายสากลได้” สำนักข่าวรัสเซียรายงานโดยอ้างคำพูดของประธานาธิบดีดมิตรี เมดเวเดฟ
       
       นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอนของอังกฤษ, นางอังเกลา แมร์เคิลของเยอรมนี, ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนีของอิตาลี, นาโอโตะ คัง ของญี่ปุ่น, รวมทั้งรัฐบาลสเปน, อิสราเอล, ตุรกี, ปากีสถาน, อัฟกานิสถาน, เคนยา, มาเลเซีย, เกาหลีใต้ ตลอดจนสหภาพยุโรป ต่างก็พาเหรดกันออกมาชื่นชมและแสดงความยินดีต่อข่าวนี้เช่นเดียวกัน
       
       อย่างไรก็ตาม การเสียชีวิตของบินลาดินได้เพิ่มข้อสงสัยเกี่ยวกับทิศทางอนาคตของกลุ่มอัลกออิดะห์ รวมถึงนโยบายด้านความมั่นคงและต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่ช่วงตลอด 10 ปีหลังมานี้เน้นหนักไปที่การต่อต้านการก่อการร้ายทั่วโลกเป็นสำคัญ
       
       ยิ่งไปกว่านั้น สหรัฐฯ และพันธมิตรอาจต้องหวั่นวิตกว่าจะถูกแก้แค้นจากพวกสมุนของบินลาดิน รวมทั้งกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกด้วย
       
       ความหวาดเกรงว่ากลุ่มก่อการร้ายจะลงมือล้างแค้น ก็ทำให้รัฐบาลหลายประเทศ อาทิ สหรัฐฯ, อังกฤษ และญี่ปุ่น ประกาศยกระดับด้านความปลอดภัยและเฝ้าระวังทั่วประเทศ รวมถึงสถานทูตของตนทั่วโลก ตลอดจนประกาศเตือนให้พลเมืองของตนในต่างแดนเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษอีกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น